Belly Fat ไขมันหน้าท้อง ปล่อยไว้ อันตราย!! รวมวิธีลดไขมันส่วนเกิน

Belly Fat ไขมันหน้าท้อง ปล่อยไว้ อันตราย

ไขมันช่องท้อง คืออะไร ? 

Belly Fat ไขมันหน้าท้อง ปล่อยไว้ อันตราย!! รวมวิธีลดไขมันส่วนเกิน ไขมันส่วนเกินที่สะสมบริเวณช่องท้อง (Visceral Fat) เกิดขึ้นจากการที่ร่างกายเผาผลาญไขมันไม่หมด ส่งผลให้ไขมันที่หลงเหลืออยู่เข้าไปแทรกอยู่ระหว่างกล้ามเนื้อบริเวณท้องและอวัยวะภายใน ส่งผลให้เกิดเป็นลักษณะของห่วงยางรอบเอว ลงพุง พุงห้อยย้อย เป็นต้น นอกจากนั้นไขมันที่เผาผลายไม่หมดนี้จะเข้าไปอุดตันในเส้นเลือดทำให้การลำเลียงเลือดไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆได้ไม่ดี เป็นต้นเหตุของปัญหาสุขภาพ เกิดเป็นโรคต่างๆ ตามมา ซึ่งในบทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับการฉีดสลายไขมัน Lipo – V ซึ่งกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และวิธีลดไขมันหน้าท้องให้ได้ผลดี พร้อมอวดหุ่นสับ เอวเอส ได้อย่างมั่นใจ ด้วยวิธีต่างๆ จะมีอะไรบ้างนั้น ไปดูพร้อมกันเลยค่ะ

Belly Fat ไขมันหน้าท้อง ปล่อยไว้ อันตราย

ไขมันช่องท้อง (belly fat) เกิดจากอะไร ? 

การสะสมของไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้องเกิดขึ้นจากการกินอาหารประเภทไขมัน คาร์โบไฮเดรต และน้ำตาล ในปริมาณมากเกินความจำเป็นที่ร่างกายต้องการทำให้ร่างกายเผาผลาญไม่หมด จึงถูกแปรสภาพไปเป็นไขมันที่ร่างกายจะนำไปสะสมไว้ตามอวัยวะและส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง ยิ่งในรายที่ไม่ได้ออกกำลังกายพลังงานถูกใช้น้อยแต่กลับมีอาหารเข้าไปมากจะทำให้ไขมันยิ่งสะสมเพิ่มพูนมากขึ้นไปอีก

การวัดค่าไขมันในช่องท้อง 

หากต้องการรู้ว่าไขมันช่องท้อง belly fat ของเรานั้นมีมากหรือน้อยแค่ไหน สามารถที่จะวัดได้ด้วยตัวเองตามหลักการที่องค์การอนามัยโลกให้การยอมรับซึ่งทำได้เองดังนี้ 

  • ใช้หน่วยวัดเป็นระบบเซนติเมตร โดยนำสายวัดมาวัดที่บริเวณรอบเอว 
  • ใช้หน่วยวัดเป็นระบบเซนติเมตร โดยนำสายวัดมาวัดที่บริเวณรอบสะโพก 
  • นำเอาตัวเลขรอบเอวที่วัดได้หารด้วยตัวเลขที่วัดได้จากรอบสะโพก ผลลัพธ์ที่ได้จะออกมาเป็นเลขทศนิยมสองหลัก (รอบเอว ÷ รอบสะโพก = x.xx) 
  • โดยไขมันช่องท้องที่วัดได้ของผู้ชายและผู้หญิงมีความแตกต่างกัน ดังนี้ 
  • ผู้หญิงที่คำนวนผลลัพธ์ออกมาได้มากกว่าค่า 0.80 ถือว่ามีไขมันช่องท้องเยอะ 
  • ผู้ชายที่คำนวนผลลัพธ์ออกมาได้มากกว่าค่า 0.95 ถือว่ามีไขมันช่องท้องเยอะ

ความอันตรายจากการมี ไขมันในช่องท้องเยอะ 

หากต้องการมีสุขภาพที่ดี ปราศจากโรค การลดปริมาณไขมันส่วนเกินที่สะสมมากเกินไปให้น้อยลง จะช่วยให้เรามีร่างกายที่แข็งแรงมากขึ้น กระฉับกระเฉง จะใช้ชีวิตประจำวันหรือขยับตัวทำงานต่างๆ ก็มีความคล่องตัวมากขึ้น โดยหากยังปล่อยให้ร่างกายสะสมไขมันช่องท้องมากขึ้นเรื่อยๆ ผลเสียที่ตามมามีมากมาย ได้แก่ 

  • เบาหวาน (Diabetes) ไขมันมีผลกับการทำงานของอินซูลินซึ่งมีหน้าที่ในการควบคุมน้ำตาล หากมีไขมันในร่างกายมากเกินไปกระบวนการควบคุมน้ำตาลจะทำได้น้อยลง 
  • ไขมันในเลือดสูง (Hyperlipidemia) ส่งผลทำให้ร่างกายกระตุ้นระบบการสร้างไขมันเหลวหรือคลอเลสเตอรอลมากขึ้น โดยมีปริมาณมากกว่าไขมันดีในร่างกาย 
  • ความดันโลหิตสูง (Hypertension) ในรายที่มีไขมันสะสมมากเกินไปตัวใหญ่มากขึ้น ทำให้ร่างกายต้องการเลือดและออกซิเจนเข้าไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่างๆ มากขึ้น หัวใจจึงทำงานหนัก ความดันโลหิตจึงสูงขึ้น 
  • โรคหัวใจ (Heart disease) ไขมันที่เข้าไปเกาะตามผนังหลอดเลือดหัวใจ อุดตันตามเส้นเลือด ทำให้หัวใจทำงานหนักมากขึ้น 
  • โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) สืบเนื่องมาจากไขมันที่มากเกินไปเข้าไปอุดตันหลอดเลือดที่เข้าไปเลี้ยงสมอง ทำให้สมองได้รับเลือดและออกซิเจนไม่เพียงพอ 
  • ภาวะไขมันพอกตับ (Fatty Liver) จะเข้าไปขัดขวางระบบการเผาผลาญน้ำตาลในร่างกาย ทำให้ร่างกายเผาผลาญน้ำตาลลดลง 
  • หยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea: OSA) มักพบในคนที่มีน้ำหนักตัวมากเกินเกณฑ์มาตรฐาน โดยไขมันที่มากเกินไปจะเข้าไปขัดขวางการขยายตัวของปอดทำให้ระบบการหายใจผิดปกติในขณะนอนหลับได้ 
  • โรคหัวใจขาดเลือด (Ischaemic heart disease) เมื่อไขมันเลวที่มีมากเกินไปจะเข้าไปตามหลอดเลือดและเกาะผนังหลอดเลือดทำให้เกิดการอุดตันเลือดจึงเข้าไปสู่หัวใจได้น้อยลง หัวใจและระบบไหลเวียนของเลือดจึงทำงานผิดปกติ 
  • โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) การที่มีไขมันในร่างกายสะสมมากส่งผลให้หลอดเลือดสมองมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะตีบตัน กระทบกับร่างกายในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นไขมันอุดตัยในหลอดเลือด ระบบเลือดไหลเวียนผิดปกติ รวมถึงกระตุ้นการเกิดภาวะภูมิแพ้ได้อีกด้วย

ความแตกต่างของ การลดไขมัน กับ การลดน้ำหนัก 

หากพูดถึงเรื่องของการดูแลรูปร่างคนส่วนใหญ่มักจะคิดถึงการลดน้ำหนักเพียงอย่างเดียว มักจะคอยชั่งน้ำหนักอยู่บ่อยๆ เพื่อดูว่าตัวเลขลดลงหรือไม่ แต่การที่เรามีน้ำหนักลดลง กับ การที่เรามีหุ่นดี นั้นไม่เหมือนกันนะคะ ถ้าอย่างนั้นเราไปทำความเข้าใจกันอีกครั้งกับความหมายของทั้ง 2 คำนี้ค่ะ 

การลดน้ำหนัก สามารถทำได้ด้วยหลายวิธี ซึ่งหลายคนเลือกที่จะอดอาหารหรือกินอาหารให้น้อยลง โดยที่ไมได้คำนึงถึงความเหมาะสมของประเภทอาหาร คุณค่าทางโภชนาการ ทำให้เกิดความไม่ปลอดภัย โดยน้ำหนักที่ลดลงไปสามารถมาจากหลายสาเหตุ เช่น กล้ามเนื้อที่ลดลง ไขมันที่หายไป น้ำในร่างกายน้อยลง เป็นต้น มีโอกาสที่จะกลับมาโยโย่ได้สูง สุขภาพเสีย นอกจากนั้นน้ำหนักที่ลดลงแต่ไขมันตามสัดส่วนต่างๆ ของร่างกายกลับไม่ลดลง 

การลดไขมัน คือการวิเคราะห์ร่างกายว่าเป็นโรคอ้วนหรือไม่ โดยมีจุดที่ต้องลดไขมันหลักๆ คือ ไขมันบริเวณใต้ชั้นผิวหนังตามจุดต่างๆ เช่น ต้นแขน ต้นขา สะโพก หน้าท้อง และไขมันบริเวณช่องท้องที่เกาะตามอวัยวะในร่างกาย ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดปัญหาห่วงยางรอบเอว ลงพุง หน้าท้องห้อยย้อย การลดไขมันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ได้หุ่นที่ฟิตแอนด์เฟิร์มควบคู่ไปกับการลดน้ำหนัก เพื่อให้ได้สุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน ไม่เกิดปัญหาโยโย่ตามมา 

ไขมันส่วนเกินมากขึ้น เสี่ยงเป็น โรคอ้วน!! 

โรคอ้วน เป็นลักษณะของถาวะที่ร่างกายมีการสะสมไขมัน่วนเกินไว้มากกว่าปกติ โดยที่ร่างกายไม่สามารถเผาผลาญได้หมด และถูกร่างกายนำไปสะสมไว้ตามอวัยวะและส่วนต่างๆ ของร่างกาย ส่งผลเสียกับสุขภาพได้อย่างร้ายแรง ทั้งยังเป็นต้นเหตุของการเกิดโรคเรื้อรังได้ การลดไขมันจึงไม่ใช่เพียงการดูแลรูปร่างเท่านั้น แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคและช่วยส่งเสริมให้สุขภาพดีขึ้นด้วย 

รวมวิธีลดไขมันบริเวณช่องท้องด้วยตัวเอง 

การลดไขมันบริเวณหน้าท้องสามารถทำได้เอง โดยมีด้วยกันหลากหลายวิธี ซึ่งหลายคนก็ยังไม่แน่ใจว่าวิธีไหนดีกว่ากันหรือวิธีไหนเห็นผลได้มากน้อยแค่ไหน สำหรับใครที่กำลังมองหาวิธีการลดไขมันอยู่ ในบทความนี้เราได้รวบรวมเอาส่วนหนึ่งมาเป็นตัวเลือกให้ได้หยิบไปลองทำกันตามลิสต์ ดังนี้ 

  • การออกกำลังกาย 

เพิ่มเสริมความแข็งแรงของร่างกาย ระบบไหลเวียนของเลือด หัวใจ รวมถึงการทำงานของปอด ให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ด้วยการออกกำลังกายประเภทคาร์ดิโอ ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายนำออกซิเจนไปใช้ได้มากขึ้น เผาผลาญน้ำตาลและไขมันได้ดีขึ้น ด้วยการเดิน การวิ่ง ว่ายน้ำ เป็นต้น ไขมันส่วนเกินที่สะสมตามร่างกายโดยเฉพาะไขมันในช่องท้องลดลงตามไปด้วย เพราะการที่ร่างกายได้ขยับจะเกิดการใช้พลังงานเพื่อไปขับเคลื่อนการทำงานของร่างกาย โดยร่างกายจะดึงไขมันใหม่เอาไปใช้เป็นพลังงานก่อน หากยิ่งขยับร่างกายมากขึ้นไปอีกร่างกายจะเริ่มดึงเอาไขมันเก่าที่สะสมไว้ออกมาใช้ได้มากขึ้น ดังนั้นหากเรากินอาหารเข้าไปมากเท่าไหร่ก็ควรเอาพลังงานออกให้มากเท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดการสะสมของไขมันไปเรื่อยๆ นำไปสู่การเป็นโรคอ้วนในอนาคตได้ 

  • การควบคุมอาหาร 

ควบคุมอาหาร ไม่ใช่ อดอาหาร เป็นการเลือกกินในสิ่งที่มีประโยชน์ โดยเน้นลดอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ของทอด ของมัน อาหารที่มีไขมันทรานส์ นอกจากนั้นอาหารประเภทที่มีรสหวานหรือมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบมากๆ ยังมีส่วนทำให้ร่างกายเกิดความอยากอาหารทำให้กินเยอะขึ้น ร่างกายจึงเกิดการสะสมของไขมันที่มากกว่าปกติ การควบคุมอาหารควบคู่ไปกับการออกกำลังกายจะยิ่งช่วยให้ไขมันใหม่ที่จะเข้าไปสะสมมีน้อยลง และยังสามารถช่วยดึงไขมันส่วนเกินในร่างกายออกมาเผาผลาญได้มากขึ้นอีกด้วย โดยการคุมอาหารนั้นร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกันจึงต้องคำนวนพลังงานที่ร่างกายจะใช้ในแต่ละวันให้เหมาะกับร่างกายมากที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ตามมา 

  • ลดความเครียด 

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดของความอ้วนและไขมันส่วนเกิน นั่นก็คือ ความเครียด ซึ่งเป็นปัจจัยที่ไม่ควรมองข้าม ต้องหมั่นเช็กสุขาพใจของตัวเองอยู่เสมอ เพราะมีหลายคนที่เครียดโดยไม่รู้ตัว เกิดการสะสมของความเครียดทุกวัน เพราะความเครียดคือตัวกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมน คอร์ติซอล (Cortisol) หากมีมากเกินไปจะเข้าไปกระตุ้นระบบการทำงานของร่างกายให้เกิดการผิดปกติ บางรายรู้สึกเบื่ออาหาร บางรายรู้สึกหิวมากขึ้น กินมากขึ้น โดยเฉพาะอาหารที่มีพลังงานสูงหรืออาหารที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบสูง เมื่อร่างกายเกิดการแปรปรวนไปเรื่อยๆ ในระยะยาวจะส่งผลเสียกับสุขภาพได้อย่างร้ายแรง  

  • พักผ่อนให้เพียงพอ 

การพักผ่อนนอนหลับเป็นกระบวนการที่สามารถช่วยฟื้นฟูและซ่อมแซมเซลล์ต่างๆ ของร่างกายให้กลับมาพร้อมทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นอกจากนั้นการนอนยังส่งผลกับน้ำหนักและไขมันสะสมได้อีกด้วย เพราะการนอนน้อยไม่ใช่เพียงแค่ทำให้รู้สึกง่วงหรือไม่สดชื่น แต่ยังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน 2 ชนิด ได้แก่ ฮอร์โมนเลปติน (Leptin) ลดลง ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีผลทำให้เกิดความเบื่ออาหาร และ ฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) เพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้เกิดความหิว เมื่อฮอร์โมนทั้งสองนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงจึงทำให้เกิดความอยากอาหารเพิ่มมากขึ้น จึงจะสังเกตได้ว่าคนที่นอนน้อยหรือพักผ่อนไม่เพียงพอจะมีความหิวหรืออยากกินอาหารมากกว่าปกติ โดยอาหารที่กินเข้าไปนั้นมักจะเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง อาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำตาลและแป้งมาก ทั้งยังทำให้ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลีย รู้สึกง่วงระหว่างวัน ไม่ค่อยแอคทีฟ ส่งผลให้ร่างกายไม่อยากที่จะใช้พลังงานหรือออกกำลังกาย ระบบเผาผลาญในร่างกายลดลง น้ำหนักจึงเพิ่มขึ้นและไขมันในช่องท้องจึงเกิดการสะสมเพิ่มมากขึ้น  

  • งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ 

การสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกฮอล์เป็นประจำจะทำให้ระบบเผาผลาญลดลงและขัดขวางการทำงานของอินซูลินซึ่งมีส่วนช่วยในการดึงน้ำตาลเปลี่ยนไปเป็นพลังงานให้ทำงานได้ไม่เต็มที่ นอกจากนั้นในหนึ่งแก้วปกติของการดื่มแอลกอฮอล์มีแคลอรี่ปะปนอยู่ รวมถึงมีคาร์โบไฮเดรตเทียบเท่ากับน้ำตาล 1 – 3 ช้อนชา ทำให้เกิดการเปลี่ยนสภาพเป็นไขมันส่วนเกินสะสมไว้ตามจุดต่างๆ ทั้งยังเพิ่มโอกาสเสี่ยงให้เกิดไขมันพอกตับ ไขมันในเลือดสูง และโรคอื่นๆ ตามมาได้ง่ายมากขึ้น 

  • ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ อย่างน้อย 2 ลิตรต่อวัน 

การดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอในแต่ละวันไม่เพียงแต่ส่งผลดีกับสุขภาพแล้ว ยังช่วยในเรื่องของการลดไขมันและควบคุมน้ำหนักได้อีกด้วย ด้วยการงดน้ำหวานและหันมาดื่มน้ำเปล่าแทนมากขึ้นจะช่วยลดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดไขมันน้อยลง นอกจากนั้นน้ำเปล่ายังช่วยให้รู้สึกอิ่มไวทานได้น้อยลง ทั้งยังช่วยกระตุ้นระบบย่อยให้ทำงานได้ดีมากขึ้น ไม่เพียงเท่านั้นน้ำยังช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญไขมันให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นได้อีกด้วย  

วิธีลดไขมันหน้าท้อง แบบเร่งด่วน!! 

หากพยายามลดไขมันด้วยตัวเองแล้วแต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ แนะนำวิธีลัดสลายไขมันได้อย่างเร่งด่วน เพราะในปัจจุบันนวัตกรรมทางการแพทย์เพื่อการดูแลรูปร่างและความงามนั้นได้ถูกพัฒนาออกมาหลายรูปแบบให้เลือกใช้ ซึ่งแต่ละวิธีนั้นก็ตอบโจทย์ความต้องการและปัญหาได้ไม่เหมือนกัน โดยจะมีวิธีการใดบ้างนั้นไปดูกันเลย 

  • สลายไขมันด้วยความเย็น (Cryolipolysis) เป็นการใช้เทคโนโลยีสลายไขมันด้วยความเย็น โดยการใช้หัวแอปพลิเคเตอร์ดูดผิวบริเวณที่ต้องการกำจัดไขมันขึ้นมาและปล่อยพลังงานความเย็นระดับเยือกแข็งอย่างคงที่ตรงเข้าแช่แข็งไขมันใต้ชั้นผิวและสลายไปตามธรรมชาติ แต่หลังทำผิวจะเกิดอาการบวม มีรอยแดง ผิวช้ำง่าย รู้สึกปวด หรือมีอาการแสบคันบริเวณผิวหนังขึ้นได้ ทั้งยังใช้ระยะเวลานานหลายสัปดาห์ในการพักฟื้นกว่ารอยช้ำและความรู้สึกปวดหรือแสบคันจะหายไป นอกจากนั้นกว่าจะเห็นผลก็ต้องใช้เวลาประมาณ 2 – 3 เดือนหลังทำ (ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละรายบุคคล)
  • การดูดไขมัน (Liposuction) อีกหนึ่งวิธีในการลดไขมันด้วยการใช้เครื่องมือที่มีลักษณะเหมือนกับท่อสอดเข้าไปใต้ชั้นผิวหนังบริเวณที่ต้องการลดไขมัน เพื่อลดปริมาณของไขมันให้น้อยลง ซึ่งในการทำแต่ละครั้งไม่สามารถดูดไขมันจำนวนมากในครั้งเดียวเพราะจะทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะเสียเลือดมาก โดยตำแหน่งที่ทำได้ มีดังนี้ หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา สะโพก เป็นต้น หลังดูดไขมันยังมีโอกาสที่ผิวไม่เรียบเนียนเป็นคลื่น ผิวเหี่ยว ผิวย้วย ผิวหนังไม่กระชับ ทั้งยังเกิดอาการบวม เขียวช้ำ ในบริเวณที่ทำการดูดไขมันได้อีกด้วย ทำให้ต้องรอพักฟื้นหลายสัปดาห์เพื่อให้รอยต่างๆ หายไป 
  • ผ่าตัดไขมันหน้าท้อง เป็นการผ่าตัดเปิดปากแผลเพื่อเอาไขมันบริเวณหน้าท้องออกไป พร้อมทั้งมีการตกแต่งผิวหนังหน้าท้องให้กระชับขึ้น โดยวิธีนี้จะทำให้เกิดรอยแผล มีอาการปวด ต้องใช้การเย็บแผลร่วมด้วย มีการดูแลที่ยุ่งยาก เสี่ยงเกิดอาการบวม อักเสบ ติดเชื้อ ได้ง่าย นอกจากนั้นยังส่งผลกับการใช้ชีวิตประจำวันได้ไม่สะดวก ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานเป็นเดือน มีโอกาสเกิดรอยแผลเป็นขึ้นได้

ฉีดสลายไขมัน LipoV ลดหน้าท้อง ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น เห็นผลไว!! 

อีกหนึ่งวิธีลดไขมันที่ทำได้ง่าย เห็นผลไว โดยไม่ต้องผ่าตัด ด้วยการฉีดสลายไขมัน Lipo-V ด้วยการฉีดตัวยาเข้าไปยังเซลล์ไขมันใต้ชั้นผิวเพื่อให้ไขมันที่เกาะตัวเป็นก้อนแน่นเกิดการแตกตัวเล็กลง ผ่านกระบวนการของร่างกายขับออกไปตามธรรมชาติ ช่วยเร่งการเผาผลาญ ไขมันสลายไวขึ้น

ฉีดสลายไขมัน Lipo-V ช่วยเรื่องอะไรบ้าง? 

การฉีดสลายไลโปวีนั้น สามารถช่วยได้หลายเรื่อง และเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น เราจึงได้รวบรวมเอาข้อดีของการฉีดสลายไขมันมาไว้ให้ตามลิสต์นี้เลยค่ะ 

  • สลายไขมันได้เร็ว ไขมันลดไว 
  • ไม่แสบผิว ไม่เกิดการบวมช้ำเหมือนยาสลายไขมันแบบอื่น 
  • ฉีดเข้าบริเวณที่ต้องการสลายไขมันได้โดยตรง 
  • ไม่ทำลายคอลลาเจน ไม่ทำให้ผิวเหี่ยว ผิวไม่หย่อนคล้อย 
  • ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ผิวเรียบเนียนกระชับ ไม่เป็นคลื่น 
  • ลดการสะสมของไขมันใหม่  
  • ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น กลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ 
  • มีความปลอดภัย ไม่เป็นอันตราย ตัวยาสลายไปได้เองตามธรรมชาติไม่เกิดการตกค้างในร่างกาย
 ต้องฉีด Lipo V บ่อยแค่ไหน? ผลลัพธ์อยู่ได้นานไหม? 

สำหรับการฉีดไลโปวีสลายไขมันนั้นสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ตั้งแต่ครั้งแรกในช่วง 1 สัปดาห์หลังทำ (ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละรายบุคคล) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแนะนำให้ฉีดอย่างต่อเนื่องทุกๆ 3 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน เนื่องจากร่างกายของแต่ละคนมีความแตกต่างกันจึงต้องอยู่ภายใต้การวินิจฉัยของแพทย์เพื่อออกแบบการรักษาเฉพาะรายบุคคล ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและปลอดภัยมากที่สุด  

Lipo V กับ ดูดไขมัน อันไหนดีกว่ากัน? 

การจะเลือกลดไขมันด้วยวิธีการไหนดีกว่ากันนั้นขึ้นอยู่กับความต้องการ สภาพปัญหาของแต่ละรายบุคคล โดยการฉีด Lipo-V เป็นทางเลือกของคนที่อยากเห็นผลไว ไม่อยากผ่าตัด ไม่อยากมีแผลหลังทำ กลัวผิวบวมช้ำ กลัวเจ็บ ไม่อยากมีรอยแผลเป็น ไม่มีเวลาพักฟื้นเพื่อรอให้แผลหาย มีเวลาในการรักษาน้อย ไม่อยากให้กระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน ไลโปวีจึงสามารถเข้ามาตอบโจทย์ได้ดีกว่าการดูดไขมัน  

ข้อควรรู้ก่อนฉีด Lipo-V 

หากยังมีข้อสงสัยไม่มั่นใจว่าจะเลือกฉีด Lipo-V ที่ไหนดี? สิ่งที่ควรทำคือการศึกษาข้อมูลรายละเอียดให้มาก โดยสามารถเช็กลิสต์ได้จากหัวข้อดังนี้ 

  • หาข้อมูลของหัตถการเพื่อทำความเข้าใจกับ Lipo-V จะได้ทราบว่าวิธีการนี้ตอบโจทย์ความต้องการ มีข้อดีและข้อเสียอะไรบ้าง เป็นไปตามเงื่อนไขของเราหรือไม่ แนะนำให้เข้ามาปรึกษากับแพทย์โดยตรงเพื่อให้ได้รายละเอียดที่ถูกต้องและครบถ้วนมากที่สุด การเข้ามาพบแพทย์โดยตรงจะทำให้แพทย์ได้วิเคราะห์จากปัยหาจริง สภาพผิวจริง รวมถึงได้ทราบถึงความต้องการและเงื่อนไขของคนไข้ที่ไม่เหมือนกัน เพื่อนำมาประกอบการออกแบบวิธีการรักษาให้เหมาะสมมากที่สุด 
  • เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน สะอาด เปิดให้บริการอย่างถูกต้อง ห้องทำหัตถการมีการแบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วน มีความเป็นส่วนตัว 
  • เลือกทำกับแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงและเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน จึงจะสามารถคำนวนปริมาณการฉีด วิเคราะห์สภาพผิวและปัญหา วางตำแหน่งการฉีดที่เหมาะสม 
  • ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน มีความปลอดภัย สามารถตรวจสอบได้ 
  • ดูแลโดยทีมมืออาชีพ สามารถให้คำแนะนำ ให้คำปรึกษา ติดตามแต่ละเคสอย่างใกล้ชิด 
  • มีรีวิวผลลัพธ์จากคนไข้จริง ก่อนที่จะเข้าไปฉีดสลายไขมัน Lipo-V กับที่ไหนก็ตาม อย่าบลืมที่จะหารีวิวจากคนไข้จริงเพื่อดูผลลัพธ์หลังทำว่าตรงตามที่เราต้องการหรือไม่ เพื่อประกอบการตัดสินใจได้ง่ายมากขึ้นค่ะ
หลังฉีด Lipo-V ต้องดูแลตัวเองอย่างไร? 

เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงานของไลโปวี ช่วยให้ผลลัพธ์แสดงผลออกมาได้อย่างเต็มที่ ทั้งยังช่วยคงผลลัพธ์ให้อยู่ได้นานขึ้นอีกด้วย ดังนั้นการดูแลตัวเองหลังทำคืออีกหนึ่งที่สำคัญมาก โดยมีขั้นตอน ดังนี้ 

  • หลังฉีด Lipo V ไปแล้วควรดื่มน้ำเปล่ามากๆ ให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย 2 ลิตรต่อวัน เพราะไขมันที่ถูกตัวยาสลายไปนั้นจะถูกขับออกมาทางเหงื่อและปัสสาวะ หากดื่มน้ำได้มากไขมันส่วนนี้ก็จะถูกขับออกได้มากเช่นกัน 
  • งดเครื่อมดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ประมาณ 1 – 2 วันหลังทำ ช่วยให้ลดความเสี่ยงของอาการบวมช้ำหรืออาการแดงไม่ให้เกิดขึ้นได้ 
  • งดอาหารหมักดอง เพราะอาหารประเภทนี้มีส่วนกระตุ้นให้เกิดอาการอักเสบ ติดเชื้อ หรือบวมได้ง่าย 
  • หลีกเลี่ยงการประคบร้อนหรือโดนความร้อนโดยตรงในบริเวณที่ฉีดไลโปวี เพราะอาจส่งผลกระทบกับตัวยาทำงานได้น้อยลง นอกจากนั้นความร้อนยังเพิ่มการไหลเวียนของเลือดอาจส่งผลให้เกิดอาการบวมหรืออักเสบมากขึ้นได้ 
  • เริ่มวางแผนเรื่องของการควบคุมอาหาร เพราะหากยังมีพฤติกรรมการกินแบบเดิมไขมันใหม่ก็จะสามารถกลับมาสะสมได้อีก หากสามารถจัดการเรื่องของอาหารที่มีประโยชน์ได้จะช่วยให้ผลลัพธ์หลังจากสลายไขมันไปแล้วคงอยู่ได้นาน 
  • เพิ่มตารางการออกกำลังกายเข้ามาเสริมในชีวิตประจำวันเพื่อช่วยเบิร์นไขมันเก่า ป้องกันไขมันใหม่เข้ามาสะสมได้ ทั้งยังเสริมให้สุขภาพแข็งแรง เมื่อกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นก็จะสามารถลดไขมันให้น้อยลงได้อีกด้วย
Lipo-V เหมาะกับใคร? 

สำหรับใครที่มีปัญหาของไขมันกวนใจต้องการสลายไขมันตามจุดต่างๆ ในร่างกาย สามารถทำได้ทุกคนค่ะ โดยต้องอยู่ภายใต้การวินิจฉัยของแพทย์มากประสบการณ์เป็นผู้ออกแบบการรักษาให้เฉพาะรายบุคคล 

  • คนที่ต้องการลดไขมันบริเวณใบหน้า 
  • คนที่ต้องการลดไขมันบริเวณหน้าท้อง 
  • คนที่ต้องการลดไขมันบริเวณต้นแขน 
  • คนที่ต้องการลดไขมันบริเวณต้นขา 
  • คนที่กลัวการผ่าตัด กลัวการดูดไขมัน 
  • คนที่ไม่มีเวลาพักฟื้น ไม่อยากมีรอยแผล 
  • คนที่กลัวเจ็บ กลัวแสบผิว 
  • คนที่อยากสลายไขมันและไม่อยากให้ผิวหย่อนคล้อย 
  • คนที่ยังไม่เคยฉีดสลายไขมันและไขมันเหล่านั้นเกาะกันแน่นแข็งเป็นก้อน

ลดพุง สลายไขมันหน้าท้อง ด้วยวิธีการฉีด Lipo-V เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เป็นวิธีดูแลรูปร่างที่ง่าย ใช้เวลาไม่นาน ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น ไม่แสบผิว ไม่บวมช้ำหลังทำ เห็นผลไวตั้งแต่ช่วง 7 – 10 วันแรกหลังฉีดสลายไขมัน (ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละรายบุคคล) สามารถทำซ้ำได้ตามต้องการจนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่พึงพอใจแล้วจึงหยุด แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลโดยแพทย์มากประสบการณ์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเป็นผู้ออกแบบการรักษา คำนวนปริมาณการฉีด กำหนดระยะห่างที่จะฉีดซ้ำอีกครั้ง เพื่อให้ปลอดภัย ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เหมาะกับร่างกายของแต่ละคนที่มีความแตกต่างกันออกไป หากใครต้องการดูแลรูปร่างให้ดูดีอยู่ตลอดเวลา เห็นผลไว และมีความปลอดภัย สามารถทักเข้ามาปรึกษาหรือขอรายละเอียดกับ The Phu Bangkok Clinic (เดอะภู แบงค็อก คลินิก) ได้เลยนะคะ อยากหุ่นดีทักเลยค่ะ